เดินเที่ยวญี่ปุ่น
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558
โตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree - 東京スカイツリー) หอคอยที่สูงที่สุดในโลก
โตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree - 東京スカイツリー) หอคอยที่สูงที่สุดในโลก
เชื่อว่าหลายคนคงได้ไปเยือนหอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree - 東京スカイツリー) ซึ่งเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลกกันมาบ้างแล้ว คงได้รู้สึกถึงความสูงที่ไม่ธรรมดาของมัน และโครงสร้างที่ดูแปลกต่างๆ จากหอคอยอื่นๆ
หอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree - 東京スカイツリー) มีความสูงทั้งหมด 634 เมตร ตั้งอยู่ในเขตซุมิดะ (Sumida-ku - 墨田区)ของโตเกียว ด้วยความสูงนี้ ทำให้หอคอยโตเกียวสกายทรีเป็นสิ่งที่ก่อสร้างที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากตึก Burj Khalifa ในดูไบซึ่งสูง 828 เมตร
จุดประสงค์หลักของการสร้างหอคอยโตเกียวสกายทรี เกิดจากการที่ในโตเกียวมีตึกที่มีความสูงประมาณ 200 เมตรอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้คลื่นสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุที่ถูกส่งจากโตเกียวทาวเวอร์ที่สูง 333 เมตรเกิดปัญหาเรื่องจุดบอดของสัญญาณในหลายพื้นที่ เพราะถูกตึกสูงที่มีมากมายบดบังสัญญาณไป จึงเกิดความคิดที่จะสร้างหอคอยสำหรับแพร่สัญญาณโทรทัศน์และวิทยุที่สูงอย่างน้อย 600 เมตรเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
และนอกจากนี้ยังต้องเป็นหอคอยสำหรับแพร่สัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิตอลด้วย ทำให้โครงการสร้างหอคอยแห่งใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2003 เป็นต้นมา และได้เริ่มทำการก่อสร้างหอคอยโตเกียวสกายทรีในวันที่ 14 กรกฏาคม 2008 และงานโครงสร้างทั้งหมดได้สร้างเสร็จในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012 และเปิดให้ผู้คนทั่วไปได้ขึ้นไปชมวิวบนหอคอยโตเกียวสกายทรีเป็นครั้งแรกในวันที่ 22 พฤษภาคม 2012
หอคอยโตเกียวสกายทรี ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมดประมาณ 3 ปี 10 เดือน และใช้งบประมาณก่อสร้างไปกว่า 65,000 ล้านเยน
ด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัยของญี่ปุ่นทำให้สามารถสร้างหอคอยโตเกียวสกายทรีให้มีความสูงมากๆ ได้อย่างมั่นคง โดยใช้พื้นที่ของฐานล่างที่น้อยมาก และยังมีน้ำหนักเบาและมีความทนทานต่อแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดี
ในวันที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและทซึนามิถล่มญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 นั้น โครงสร้างของหอคอยโตเกียวสกายทรีได้ถูกสร้างไปจนถึงจุดความสูงที่ 625 เมตรแล้ว แต่กลับได้รับผลกระทบน้อยมาก มีเพียงเสาอากาศที่อยู่ด้านบนสุดได้โค้งงอเนื่องจากแรงสั่นของแผ่นดินไหว ส่วนคนงานก่อสร้างทั้งหมดปลอดภัย และไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด จึงเป็นหลักประกันอย่างดีถึงความแข็งแกร่งและทนทานของหอคอยโตเกียวสกายทรีนี้
หลังจากที่ได้เปิดให้คนทั่วไปได้ขึ้นไปชมบนจุดชมวิวบนหอคอยโตเกียวสกายทรีตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2012 มีผู้คนหลั่งไหลไปชมหอคอยโตเกียวสกายทรีเป็นจำนวนมาก ทำให้มียอดผู้เข้าชมในหอชมวิวครบ 1 ล้านคนในเช้าวันที่ 1 สิงหาคม 2012 และหลังจากเปิดให้บริการไปได้เพียงปีครึ่ง พบว่ามีผู้คนเข้าไปเยี่ยมชม ณ จุดชมวิวบนหอคอยถึง 10 ล้านคน ในวันที่ 6 ธันวาคม 2013 ถึงตอนนี้ไม่รู้ว่ามีคนไปเยี่ยมชมมากแค่ไหนแล้ว แต่เชื่อว่าหอคอยโตเกียวสกายทรีนี้จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของโตเกียวไปอีกนานแน่นอน
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558
ดอกซากุระที่บานตรงโตนต้นหรือโคนกิ่งใหญ่
ดอกซากุระที่บานตรงโตนต้นหรือโคนกิ่งใหญ่
วันนี้ขอพาชมดอกซากุระที่บานตรงโคนต้นหรือโคนกิ่ง ผิดกับดอกซากุระทั่วไปที่มักจะผลิดอกที่ปลายกิ่ง
แต่เมื่อได้สังเกตุดูให้ดี จะพบว่ามีดอกซากุระจำนวนไม่น้อยที่บานตรงโคนกิ่งใหญ่ หรือโคนต้นเลย ซึ่งมีเสน่ห์และความสวยงามไปอีกแบบ วันนี้จึงขอพาชมด้วยภาพกันสักครั้ง
วันนี้ขอพาชมดอกซากุระที่บานตรงโคนต้นหรือโคนกิ่ง ผิดกับดอกซากุระทั่วไปที่มักจะผลิดอกที่ปลายกิ่ง
แต่เมื่อได้สังเกตุดูให้ดี จะพบว่ามีดอกซากุระจำนวนไม่น้อยที่บานตรงโคนกิ่งใหญ่ หรือโคนต้นเลย ซึ่งมีเสน่ห์และความสวยงามไปอีกแบบ วันนี้จึงขอพาชมด้วยภาพกันสักครั้ง
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558
ชมดอกซากุระบานที่ย่านวาเซดะ (Waseda - 早稲田)
เที่ยวชมดอกซากุระบานที่ย่านวาเซดะ (Waseda - 早稲田)
ในช่วงดอกซากุระบาน คนญี่ปุ่นจะพากันไปชื่นชมดอกซากุระบานตามสถานที่ต่างๆ กันอย่างคึกคัก ซึ่งสถานที่ที่เป็น High Light สำคัญก็มีอย่างมากมายทั่วประเทศญี่ปุ่น
สำหรับในกรุงโตเกียว สถานที่สำหรับชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงมากๆ ได้แก่ย่านสวนอุเอะโนะ (Ueno Ko-en) ซึ่งปัจจุบัน นอกจากชาวญี่ปุ่นแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็๋นจำนวนมากต่างๆ ให้ความสนใจในการไปชมดอกซากุระกันอย่างมากมาย ทำให้แต่ละแห่งหนาแน่นไปด้วยผู้คน ต้องแย่งกันและเบียดกันพอสมควร
ในย่านใกล้กับมหาวิทยาลัยวาเซดะ (Waseda University - 早稲田大学) ก็มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามแปลกตาอยู่ด้วย แถมยังอยู่ไม่ไกลจากประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ และใกล้กับสถานีรถรางวาเซดะอีกด้วย
เมื่อเดินไปถึงสถานีรถรางวาเซดะแล้ว ให้เดินไปทางสี่แยก คันดะคะว่า (Kandakawa - 神田川) ก็จะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ (ตรงช่วงนั้นน่าจะเรียกว่าคลองมากกว่า) ที่ชื่อว่า ยุทะกะบะชิ (Yutakabashi - 豊か橋) จากตรงนั้นก็จะเห็นต้นซากุระเต็มทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเลย
ในช่วงดอกซากุระบาน คนญี่ปุ่นจะพากันไปชื่นชมดอกซากุระบานตามสถานที่ต่างๆ กันอย่างคึกคัก ซึ่งสถานที่ที่เป็น High Light สำคัญก็มีอย่างมากมายทั่วประเทศญี่ปุ่น
สำหรับในกรุงโตเกียว สถานที่สำหรับชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงมากๆ ได้แก่ย่านสวนอุเอะโนะ (Ueno Ko-en) ซึ่งปัจจุบัน นอกจากชาวญี่ปุ่นแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็๋นจำนวนมากต่างๆ ให้ความสนใจในการไปชมดอกซากุระกันอย่างมากมาย ทำให้แต่ละแห่งหนาแน่นไปด้วยผู้คน ต้องแย่งกันและเบียดกันพอสมควร
ในย่านใกล้กับมหาวิทยาลัยวาเซดะ (Waseda University - 早稲田大学) ก็มีจุดชมดอกซากุระที่สวยงามแปลกตาอยู่ด้วย แถมยังอยู่ไม่ไกลจากประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ และใกล้กับสถานีรถรางวาเซดะอีกด้วย
เมื่อเดินไปถึงสถานีรถรางวาเซดะแล้ว ให้เดินไปทางสี่แยก คันดะคะว่า (Kandakawa - 神田川) ก็จะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ (ตรงช่วงนั้นน่าจะเรียกว่าคลองมากกว่า) ที่ชื่อว่า ยุทะกะบะชิ (Yutakabashi - 豊か橋) จากตรงนั้นก็จะเห็นต้นซากุระเต็มทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเลย
ที่นี่ต้นซากุระจะถูกปลุกเรียงรายไปทั้งสองฝั่งของแม่น้ำคันดะ (Kanda River - 神田川) อย่างสวยงาม ช่วงบริเวณนี้เป็นช่วงที่แม่น้ำคันดะ (Kanda River - ,神田川) มีความแคบและเล็กมาก โดยเฉพาะตรงบริเวณสะพาน "โอะทะคิบะชิ" (Otakibashi - 小滝橋) ซึ่งแปลว่าน้ำตกสายเล็กๆ เมื่อดอกซากุระบานเต็มที่ทั้งฝั่งแม่น้ำ จะมองดูเหมือนกิ่งก้านของต้นซากุระทั้ง 2 ฝั่งได้โน้มเข้าจนติดกันไปเลย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก
ในบรรดาสะพานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำคันดะ (Kanda River - 神田川) ทั้ง 140 แห่ง สะพาน "โอะทะคิบะชิ" (Otakibashi - 小滝橋) ถือว่าเป็นสะพานอันดับที่ 92
ต้นซากุระที่อยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำนี้ จะปลูกใกล้กันมาก จนมองเห็นดอกซากุระจากต้นหนึ่งจะไขว้ไปหาต้นซากุระที่อยู่ข้างๆ ทำให้มองดูเป็นผืนดอกซากุระที่แสนสวยงาม
ในช่วงที่ดอกซากุระบาน จะมีผู้คนในโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียงแวะไปเยี่ยมชมกันอย่างคึกคัก ส่วนใหญ่จะนั่งรถรางสาย อะระคะวะ (Arakawa Line - 荒川線) ไปลงที่สถานีวาเซดะ หรือสถานนีระหว่างทาง เล่นไปด้วยในตัว ถือว่าได้ทั้งดูดอกซากุระและนั่งรถรางไปในคราวเดียว
บางช่วงของแม่น้ำจะติดกับริมถนนใหญ่ ซึ่งเมื่อเดินบนทางเท้า ก็จะได้เห็นวิวของต้นซากุระที่สวยงามในอีกมุมหนึ่ง เป็นถนนที่น่าไปเดินเล่นมาก
ทุกปีช่วงที่ดอกซากุระบาน จะมีการจัดงานเทศกาลดอกซากุระที่วาเซดะ (Waseda Sakura Matsuri - 早稲田桜祭り) ซึ่งในปี 2015 นี้จะตรงกับวันที่ 8 เมษายน จะมีงานออกร้านขายอาหาร รวมทั้งงานแสดงรื่นเริงต่างๆ มากมาย ซึ่งในวันนั้นทั้งสองฝั่งแม่น้ำจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ที่วาเซดะ (Waseda - 、早稲田) จึงถือว่าเป็นจุดชมซากุระที่น่าสนใจและแปลกตากว่าที่อื่นๆ อีกทั้งสามารถได้สัมผัสกับซากุระอย่างใกล้ชิดอีกด้วย เพื่อนๆ ที่มีโอกาสไปโตเกียวในช่วงดอกซากุระบาน แนะนำให้ไปเที่ยวที่นี่เลย รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่
ถ้าได้ไปวันที่อากาศดีและแดดออก จะได้เห็นดอกซากุระจำนวนมากที่สวยงามมาก น่าเสียดายที่วันที่ไปถ่ายภาพเหล่านี้ เป็นช่วงใกล้เย็นแล้ว และไม่ค่อยมีแดดสอ่งมากเท่าไหร่ ทำให้ภาพดูมืดกว่าปกติ
เป็นที่น่าชื่นชมที่ทางการญี่ปุ่นให้ความสำคัญและดูแลรักษาต้นซากุระเหล่านี้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและน่าสนใจมากมาเป็นเวลานาน
ขอให้ทุกท่านที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงต้นเมษายนนี้ ได้พบกับดอกซากุระบานกันอย่างจุใจเลย :)
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558
เสน่ห์ของรถรางสายสุดท้ายในโตเกียว (Toden - Arakawa Line - 都電 荒川線)
เสน่ห์ของรถรางสายสุดท้ายในโตเกียว (Toden - Arakawa Line)
คนไทยต่างรู้จักรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นหรือ รถไฟชินกันเซน (Shinkansen - 新幹線) เป็นอย่างดี ทุกคนคงได้เห็นรถไฟสายต่างๆ ทั้งของรัฐบาลและเอกชนที่มีอยู่ทั่วกรุงโตเกียวและเมื่องสำคัญทุกแห่งจนชินตา บางคนก็ได้นั่งรถไฟที่ญี่ปุ่นกันหลายสิบครั้งแล้ว ทุกคนต่างชื่นชมในความทันสมัย ความสะอาด ความรวดเร็วและตรงต่อเวลาของรถไฟญี่ปุ่นกันมาก
แต่ท่ามกลางรถไฟที่ทันสมัยมากมายของญี่ปุ่น หลายคนคงไม่รู้ว่าแม้แต่ในโตเกียวก็ยังมีระบบขนส่งแบบเก่าอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือ "รถราง" นั่นเอง
หลายคนคงแปลกใจว่าที่ญี่ปุ่นยังมีรถรางเหลือให้วิ่งกันอยู่อีกหรือ โดยเฉพาะในโตเกียว เห็นแต่รถไฟ รถไฟใต้ดิน และรถไฟชิ้นกันเซนวิ่งกันเต็มไปหมด แต่กลับไม่ได้เห็นรถรางเลย อันที่จริงโตเกียวยังมีรถรางอยู่ แถมยังเป็นรถรางสายเดียวที่ยังเหลือซะด้วย ลองมาทำความรู้จักรถรางสายนี้กันดูดีกว่า
รถรางสายเดียวที่ยังเหลือวิ่งอยู่ในโตเกียว คือรถรางสาย อะระคะวา (Arakawa Line - 荒川線) แต่คนโตทั่วไปมักจะเรียกกันติดปากเป็นชื่อย่อว่า "โทะเด็น" (Toden - 都電) ซึ่งมาจากชื่อเต็มคือ โตเกียวโทะเด็นชะ (Tokyotodensha - 東京都電車) ซึ่งเป็นรถรางที่ทางกรุงโตเกียวเป็นผู้รับผิดชอบดูแลอยู่
ญี่ปุ่นเริ่มเริ่มใช้รถรางเป็นครั้งแรกในปี 1903 และกลายเป็นระบบขนส่งมวลชนที่สำคัญของกรุงโตเกียว ในช่วงที่รถรางได้รับความนิยมสูงสุด ในโตเกียวมีรถรางมากถึง 41 สาย คิดเป็นความยาวทั้งหมดถึง 213 กม.
แต่หลังจากที่ทางกรุงโตเกียวได้มีการสร้างระบบรถเมล์ และรถไฟใต้ดินเพิ่มขึ้นมา มีการขยายถนนเพื่อเพิ่มพื้นผิวจราจรมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ระบบรถรางถูกทยอยยกเลิกไปทีละสายสองสาย เฉพาะช่วงปี 1967 - 1972 รถรางถูกยกเลิกไปเป็นระยะทางยาวถึง 181 กม.
ในช่วงปลายปี 1972 เหลือรถรางอยู่ในโตเกียวเพียง 2 สาย คือสาย 27 และ 32 และในวันที่ 1 ตุลาคม 1974 ได้มีการรวมรถราง 2 สายนี้เข้าด้วยกัน และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นรถรางสาย "อะระคะว่า" (Arakawa Line - 荒川線) พร้อมทั้งเปลี่ยนไปใช้รถรางรุ่นเดียวกันทั้งหมด และยังคงให้บริการมาจนถึงปัจจุบัน
รถรางสาย อะระคะวะ มีความยาวทั้งหมด 12.2 กม. มีจุดจอดรถทั้งหมด 30 สถานี (รวมจุดจอดต้นทางและปลายทางด้วย) โดยมีจุดเริ่มต้นที่ วาเซดะ (Waseda - 早稲田)และสุดทางที่จุดจอด มิโนะวะบาชิ (Minowabashi - 三ノ輪橋)
สำหรับจุดเริ่มต้นที่ วาเซดะ (Waseda - 早稲田) จะอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ (Waseda University - 早稲田大学)
เหตุที่รถรางสาย อะระคะวะ (Arakawa Line - 荒川線) ยังคงสามารถวิ่งให้บริการอยู่ เป็นเพราะว่ารางของรถรางสายนี้ เกือบทั้งหมดเป็นรางที่สร้างในพื้นที่เฉพาะ ซึ่งไม่ได้ไปซ้อนอยู่บนถนนเหมือนรถรางสายอื่นๆ จุดที่ทับซ้อนกับถนนมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ทำให้ผู้บริหารของกรุงโตเกียวเห็นว่าไม่จำเป็นต้องยกเลิกรถรางสายนี้ อีกทั้งยังมีผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการประมาณ 5 หมื่นคนต่อวัน (ในอดีตเคยมีผู้ใช้บริการสูงสุดถึง 8 หมื่นคนต่อวัน)
ส่วนค่าโดยสารของรถราง สำหรับผู้ใหญ่ 170 เยน และเด็ก 90 เยน โดยเป็นราคาเดียวตลอดสาย สำหรับผู้ที่ซื้อเป็นบัตรเป็นแบบ IC Card จะได้รับส่วนลดเล็กน้อยเป็น 165 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 82 เยนสำหรับเด็ก
นอกจากนี้ยังมีตั๋วแบบ 1 วันขายด้วยในราคา 400 เยน (สำหรับผู้ใหญ่) และ 200 เยน (สำหรับเด็ก) ซึ่งเป็นราคาที่คุ้มค่ามาก เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากแวะดูหลายๆ แห่งในวันเดียว
ในวันที่ 1 ตุลาคม 1978 ได้มีการเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ โดยให้มีพนักงานดูแลเพียง 1 คนต่อ 1 ขบวน ซึ่งมีเพียง 1 โบกี้ โดยจะทำหน้าที่เป็นทั้งพนักงานขับรถ เก็บเงิน ขายตั๋ว และอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ แก่ผู้โดยสารทั้งหมด ปกติในการขึ้นรถราง จะขึ้นทางประตูหน้า เพื่อจ่ายค่าโดยสารก่อน เมื่อถึงที่หมายก็จะกดกริ่งแจ้งให้พนักงานขับรถทราบ แล้วลงจากรถรางทางประตูหลัง
อยากเชิญชวนให้ลองไปนั่งรถรางสายนี้เที่ยวเล่นดู น่าจะได้พบกับบรรยากาศที่แปลกใหม่ในญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
(บรรยากาศที่งดงามพร้อมด้วยต้นซากุระ)
แต่ท่ามกลางรถไฟที่ทันสมัยมากมายของญี่ปุ่น หลายคนคงไม่รู้ว่าแม้แต่ในโตเกียวก็ยังมีระบบขนส่งแบบเก่าอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือ "รถราง" นั่นเอง
(รถรางขณะที่แล่นอยู่บนถนนเพื่อเตรียมเข้าเทียบชานชลาที่จุดจอด)
หลายคนคงแปลกใจว่าที่ญี่ปุ่นยังมีรถรางเหลือให้วิ่งกันอยู่อีกหรือ โดยเฉพาะในโตเกียว เห็นแต่รถไฟ รถไฟใต้ดิน และรถไฟชิ้นกันเซนวิ่งกันเต็มไปหมด แต่กลับไม่ได้เห็นรถรางเลย อันที่จริงโตเกียวยังมีรถรางอยู่ แถมยังเป็นรถรางสายเดียวที่ยังเหลือซะด้วย ลองมาทำความรู้จักรถรางสายนี้กันดูดีกว่า
(ผู้คนมายืนรอขึ้นรถรางที่จุดจอดระหว่างทาง)
(ชานชลาของจุดจอดที่วาเซดะ - Waseda - 早稲田)
แต่หลังจากที่ทางกรุงโตเกียวได้มีการสร้างระบบรถเมล์ และรถไฟใต้ดินเพิ่มขึ้นมา มีการขยายถนนเพื่อเพิ่มพื้นผิวจราจรมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ระบบรถรางถูกทยอยยกเลิกไปทีละสายสองสาย เฉพาะช่วงปี 1967 - 1972 รถรางถูกยกเลิกไปเป็นระยะทางยาวถึง 181 กม.
(รถรางตอนเข้าจอดเทียบชานชลา)
(เส้นทางและรายชื่อจุดจอดทั้ง 30 แห่งของรถรางสาย Arakawa)
สำหรับจุดเริ่มต้นที่ วาเซดะ (Waseda - 早稲田) จะอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ (Waseda University - 早稲田大学)
(จุดจอดรถที่ วาเซดะ Waseda - 早稲田 ซึ่งถือว่าเป็นต้นทาง อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยวาเซดะ)
(พื้นที่ของรถรางสาย Arakawa - 荒川線 ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่พิเศษ ไม่ทับซ้อนกับถนน)
นอกจากนี้ยังมีตั๋วแบบ 1 วันขายด้วยในราคา 400 เยน (สำหรับผู้ใหญ่) และ 200 เยน (สำหรับเด็ก) ซึ่งเป็นราคาที่คุ้มค่ามาก เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากแวะดูหลายๆ แห่งในวันเดียว
(ที่จอดรถต้นทางที่ วาเซดะ Waseda - 早稲田) อยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ
ภาพวาดแสดงเส้นทางเดินรถพร้อมจุดจอดรถของรถรางสาย Arakawa - 荒川線
ในวันที่ 1 ตุลาคม 1978 ได้มีการเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ โดยให้มีพนักงานดูแลเพียง 1 คนต่อ 1 ขบวน ซึ่งมีเพียง 1 โบกี้ โดยจะทำหน้าที่เป็นทั้งพนักงานขับรถ เก็บเงิน ขายตั๋ว และอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ แก่ผู้โดยสารทั้งหมด ปกติในการขึ้นรถราง จะขึ้นทางประตูหน้า เพื่อจ่ายค่าโดยสารก่อน เมื่อถึงที่หมายก็จะกดกริ่งแจ้งให้พนักงานขับรถทราบ แล้วลงจากรถรางทางประตูหลัง
(พบกับบรรยากาศสวยๆ 2 ข้างทาง)
ภายในชานชาลาของจุดจอดที่วาเซดะ (Waseda - 早稲田)
(รายชื่อป้ายจอดของรถรางสาย Arakawa ทั้ง 30 แห่ง)
วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558
ศาลเจ้ายะสุคุนิ (Yasukuni Shrine - 靖国神社) ช่วงซากุระบาน
ศาลเจ้ายะสุคุนิ (Yasukuni Shrine - 靖国神社) เป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น อยู่ในเขตจิโยะดะ (Chiyoda - 千代田) ในกรุงโตเกียว นักท่องเที่ยวชาวไทยอาจไม่ค่อยได้รู้จักกันมากนัก เพราะบริษัททัวร์ของไทยยังไม่นิยมพาไปเที่ยวที่วัดนี้ แต่ศาลเจ้ายะสุคุนิ (Yasukuni Shrine - 靖国神社) แห่งนี้ กลับเป็นที่รู้จักกันดีในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างจีนกับเกาหลีและญี่ปุ่น แต่กลายเรื่องความขัดแย้งและบาดหมางทางการเมืองเสียมากกว่า
สาเหตุของเรื่องนี้คือ ศาลเจ้ายะสุคุนิแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บอัฐิของเหล่าวีรชนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโบะชิน (Boshin War - 戊辰戦争) ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองของการล้มระบบโชกุน และคืนอำนาจการปกครองประเทศให้กับองค์จักรพรรดิ์ รวมทั้งเป็นที่เก็บอัฐิของผู้ที่ได้ทำการเสียสละเพื่อประเทศญี่ปุ่นและองค์จักรพรรดิด้วย ถือเป็นการยกย่องให้เป็นบุคคลที่ได้สร้างคุณงามความดีและประเทศญี่ปุ่น
ถ้าไม่พุดถึงเรื่องการเมืองแล้ว ศาลเจ้ายะสุคุนิ (Yasukuni Shrine - 靖国神社) ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่สวยงามและสงบร่มรื่นมากแห่งหนึ่งในโตเกียว เป็นศาลเจ้าที่จักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่นได้ดำริให้สร้างขึ้นเมื่อปี 1869 เพื่อเทิดทูนเหล่าวีรชนที่ได้เสียชีวิตในสงครามโบะชิน ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อปฏิรูปการปกครองของญี่ปุ่นในปี 1868 เพื่อให้องค์จักรพรรดิ์กลับมามีอำนาจปกครองประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง หลังจากถูกโชกุนของตระกูล Tokugawa ควบคุมอำนาจการปกครองญี่ปุ่นยาวนานถึง 265 ปี (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1603 จนถึง 1868)
ก่อนเดินถึงศาลเจ้ายะสุคุนิ (Yasukuni Shrine - 靖国神社) มีลานกว้างขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าศาลเจ้า ซึ่งทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นซากุระและต้นไม้ใหญ่อีกหลายประเภท เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่ของศาลเจ้าเข้าไปแล้ว จะเห็นสวนต้นซากุระที่สวยงามอยู่ทั้ง 2 ข้างทางเช่นกัน ในช่วงดอกซากุระบาน สวนในศาลเจ้ายะสุคุนิก็จัดเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในการดูดอกซากุระในโตเกียวด้วย
สาเหตุของเรื่องนี้คือ ศาลเจ้ายะสุคุนิแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บอัฐิของเหล่าวีรชนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโบะชิน (Boshin War - 戊辰戦争) ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองของการล้มระบบโชกุน และคืนอำนาจการปกครองประเทศให้กับองค์จักรพรรดิ์ รวมทั้งเป็นที่เก็บอัฐิของผู้ที่ได้ทำการเสียสละเพื่อประเทศญี่ปุ่นและองค์จักรพรรดิด้วย ถือเป็นการยกย่องให้เป็นบุคคลที่ได้สร้างคุณงามความดีและประเทศญี่ปุ่น
(เสาโทริอิที่ตั้งเด่นอยู่หน้าประตูศาลเจ้ายะสุคุนิ)
แต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากแพ้สงคราม ทางการญี่ปุ่นได้นำอัฐิของเหล่าทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตไปในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มาไว้ที่ศาลเจ้ายะสุคุนิด้วย ทำให้ประเทศจีนและเกาหลีซึ่งได้รับความเสียหายจากกองทัพญี่ปุ่นไม่พอใจมาก เพราะการกระทำดังกล่าวเหมือนกับการยกย่องให้กองทัพญี่ปุ่นที่ไปรุกรานประเทศต่างๆ ในเอเชียนั้นเป็นวีรบุรุษของประเทศ ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้นำของญี่ปุ่นเดินทางไปทำพิธีคำนับดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตที่ศาลเจ้ายะสุคุนิ ทางจีนและเกาหลีจะแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมากถ้าไม่พุดถึงเรื่องการเมืองแล้ว ศาลเจ้ายะสุคุนิ (Yasukuni Shrine - 靖国神社) ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่สวยงามและสงบร่มรื่นมากแห่งหนึ่งในโตเกียว เป็นศาลเจ้าที่จักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่นได้ดำริให้สร้างขึ้นเมื่อปี 1869 เพื่อเทิดทูนเหล่าวีรชนที่ได้เสียชีวิตในสงครามโบะชิน ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อปฏิรูปการปกครองของญี่ปุ่นในปี 1868 เพื่อให้องค์จักรพรรดิ์กลับมามีอำนาจปกครองประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง หลังจากถูกโชกุนของตระกูล Tokugawa ควบคุมอำนาจการปกครองญี่ปุ่นยาวนานถึง 265 ปี (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1603 จนถึง 1868)
(เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าศาลเจ้ายะสุคุนิ)
ก่อนเดินถึงศาลเจ้ายะสุคุนิ (Yasukuni Shrine - 靖国神社) มีลานกว้างขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าศาลเจ้า ซึ่งทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นซากุระและต้นไม้ใหญ่อีกหลายประเภท เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่ของศาลเจ้าเข้าไปแล้ว จะเห็นสวนต้นซากุระที่สวยงามอยู่ทั้ง 2 ข้างทางเช่นกัน ในช่วงดอกซากุระบาน สวนในศาลเจ้ายะสุคุนิก็จัดเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในการดูดอกซากุระในโตเกียวด้วย
(เมื่อเดินผ่านยังด้านซ้ายของประตุทางเข้า ก็จะพบกับอาคารหลังนี้)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)